.

***อนิจา วาสนา ไพร่***

เรียกร้องเถอะ ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง บ้างไหม ใครเมตตา

สิ่งที่ขอ รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่ เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา ร่วมหงส์ ดงผู้ดี

ร้องขอมา กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี ไล่บี้ ให้จำนน

ตายแล้วสิบ เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่ สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร กฏหมาย ไร้ปราณี

อนิจา วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี คนโฉด โป้ปดลวง

คงถึงครา แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้ ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง ทวงค่า ความเป็นคน

โดย ยรรยง ลูกชาวดิน
7 / มีนาคม / 2553
........

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มันกล้า ‘ยึดทรัพย์’ ...พระเจ้าแผ่นดิน!!!

โพสต์21 ก.พ. 2553, 21:55โดยยรรยง ลูกชาวดิน

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

มื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนบทความชื่อ ‘ถอดเจ้า’- ‘ริบทรัพย์’!!! ได้มีท่านผู้อ่านใช้ชื่อ คุณ พิงบุญ โพสออกความเห็นเข้ามา ว่า
....อ่านแล้วได้เตือนความจำอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่ากลุ่มไหนเข้ามามีอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองไทย พวกเขาก็ต้องพยายามกำจัด ลิดรอน ทอนอำนาจ กลุ่มอำนาจเก่ากันทั้งนั้น ไม่ว่ากลุ่มเก่าจะเป็นเจ้า เป็นไพร่ เป็นทหาร หรือพลเรือน ไม่มีใครหนีพ้น ถูกตามล้าง ตามเช็ด ถอนราก ถอนโคน ดูหมิ่น เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หาก "สักหน้า" ได้ก็คงทำ
เป็นวงจรอุบาทว์ที่หมุนอยู่กลางแสกหน้าสังคมไทยมาตลอดเวลาหลายร้อยปี ตราบจนถึงปัจจุบัน...
โดยคุณ
พิงบุญ
ได้อ่านแล้ว เลยอดไม่ได้ต้องเขียนบทความ ต่อจากที่ได้แสดงไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อขยายความให้ท่านผู้อ่าน ได้พบกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึง จากการกระทำของฝ่ายคณะราษฎร ได้ทำสิ่งที่คนไทยไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือ
การฟ้องยึดทรัพย์...พระเจ้าแผ่นดิน!
เมื่อผู้นำเก่าของประเทศเดิม ต้องออกนอกประเทศเพราะถูกโค่นอำนาจ ด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ส่วนใหญ่แล้วการถูกจองล้างจองผลาญ โดยฝ่ายที่ยึดอำนาจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่มากนักที่คนที่เป็นอดีตผู้นำ ต้องออกจากนอกประเทศตอนไม่ได้มีตำแหน่ง เช่น
นายปรีดี พนมยงค์ ตอนที่หนีออกนอกประเทศไปตอนนั้น ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เขาได้ก่อการยึดอำนาจ (ที่เรียกกันว่า “กบฏวังหลวง”) โดยแต่งเครื่องแบบทหารเรือ ติดหนวดเครา บุกเข้าไปในวังหลวง นั่งบัญชาการยึดอำนาจที่นั่น แต่ล้มเหลวหมดท่า แค่โดนฝ่ายรัฐบาลเอารถถังวิ่งชนประตูวังเข้าไป โครมเดียวเท่านั้น นายปรีดีฯตกใจขึ้เยี่ยวแทบเล็ด เผ่นหนีกระเซอะกระเซิง ออกนอกประเทศไปพำนักอยู่ที่เมืองจีนพักหนึ่ง แล้วก็ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส จนตายลงที่นั่น
จอมพลคนปีไก่ ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลายสมัย ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อการรัฐประหาร เพราะไม่พอใจที่จอมพล ป. มีทีท่าว่าจะยึดกองสลาก ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ฯ เป็นประธานกรรมการบริหารอยู่ โดย พ.ต.อ.จำรัส มังคลารัตน์ (ต่อมาเลื่อนยศเป็น พล.ต.อ.) ซึ่งเป็นผู้กำกับการกองกำกับการตำรวจ นครบาลที่ 2 ชนะสงคราม ไปจับลอตเตอรี่ชุด 2 เข้าให้ เป็นการทุบหม้อข้าวของจอมพลนักรักเข้าตูมใหญ่ อย่างนี้มันก็อยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้แล้ว
ต้อง ‘ปฏิวัติ’ มันซะ!
จอมพล ป.ต้องขับรถทันเดอร์เบิร์ดไปทางด้านตะวันออก หนีข้ามแดนเข้าไปในเขมร แล้วไปลี้ภัยต่อที่ญี่ปุ่น และเสียชีวิตที่นั่น
ส่วนผู้กำกับจำรัส มังคลารัตน์ จับเก่งนัก เลยต้องกระเด็นกระดอนออกหัวเมืองไปอยู่โคราชซะเลย แต่ความที่เป็นคนมีฝีมือ ต่อมาท่านก็ขึ้นเป็น “เจ้าพ่อตำรวจภูธร” ได้สำเร็จ

content/picdata/203/data/01.jpg

ารจองล้างจองผลาญกันในทางการเมืองนั้น ปรากฏชัดในความพยายามของพวกหัวรุนแรง ที่ยังอยู่ในคณะของผู้ยึดอำนาจนั้น ผมได้นำเรื่องความพยามในการ ‘ยึดทรัพย์’ และ ‘ถอดเจ้า’ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง ในบทความเรื่อง ‘ถอดเจ้า’- ‘ริบทรัพย์’!!! ตอนที่แล้ว แต่เรื่องก็ไม่ได้หยุดกันเพียงแค่นั้น
วันนี้จึงถือโอกาสมาเล่าต่อ เพื่อให้ท่านผู้อ่านคนรุ่นหนุ่มสาว ได้รับทราบทั่วกัน ดังต่อไปนี้
ฝ่ายก่อการผู้กุมอำนาจได้แล้ว ยังได้พยายามกระทำการ อันเป็นการมุ่งร้าย และมีผลกระทบต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทำให้เรามองเห็นถึงความอาฆาตมาดร้าย ของฝ่ายผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง คงเป็นเพราะคนพวกนี้ เกรงว่าราษฎรอาจหันกลับมา หนุนให้มีการปกครองในระบอบเก่า คือระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) กันอีกครั้ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว
ผลร้ายคงตกกับฝ่ายผู้ก่อการ เป็นแน่แท้!
การที่ ร.7 ทรงถามเรื่อง ‘ถอดเจ้า’- ‘ริบทรัพย์’ ทำให้กระแสข่าวลือเรื่องนี้จึงลดลง และยังมีผลให้ความต้องการโค่นพระราชวงศ์แบบถอนรากถอนโคน ของฝ่ายหัวรุนแรงในคณะผู้ก่อการ ไม่สัมฤทธิ์ผล แต่การจองเวรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยบุคคลในคณะดังกล่าว ก็ยังดำเนินการต่อไปไม่หยุดยั้ง และนำไปสู่เรื่องการฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ขออธิบายให้พอเข้าใจได้ ดังนี้

ก่อนการยึดอำนาจ พ.ศ. 2475 ได้ปัญหาสะสมมาจากสถานการณ์ของโลก เพราะหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจของโลกก็เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า Great Recession คลาดหุ้นสหรัฐพังพินาศ ผู้คนตกงานกันมากมาย ผลขอการถดถอยทางเศรษฐกิจสหรัฐ ก็มีผลกระทบกว้างไกลไปทั่วโลก
ไทยเราแม้เป็นประเทศเล็กๆก็ได้รับผลกระทบด้วย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ต้องทรงแก้ไขปัญหา ด้วยการปรับดุลยภาพ ต้องให้ข้าราชการออกจากงาน เพื่อลดงบประมาณ จนมีศัพท์แสงขึ้นมาใหม่ คือคำว่า “ถูกดุน” หมายถึงถูกพิษของดุลยภาพ

เหมือนถูก ‘ดุน’ จากทางด้านหลัง... ‘ให้ออก’ จากราชการนั่นเอง!
ตรงนี้ก็นำมาซึ่งความไม่พอใจ กับหมู่ข้าราชการที่ ‘ถูกดุน’แต่โดยเฉพาะข้าราชการทหาร ทั้งได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ สำหรับการก่อการเข้ายึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475
หากมองด้วยสายตาที่ไม่มีอคติกับฝ่ายใด ในตอนนั้นประเทศของเรา อยู่ในฐานะยากลำบาก เรื่องดุลยภาพด้วยการตัดทอนงบประมาณ เป็นความจำเป็นของชาติ ซึ่งต้องตัดทอนรายจ่ายทุกๆด้านลง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในฐานะพระมหากษัตริย์ ก็มิได้ทรงเอาเปรียบราษฎร ทรงตัดทอนเงินที่ได้รับจากงบประมาณ จาก 6 ล้านบาทต่อปี ลงเหลือเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และทรงอำนาจอย่าง สมเด็จกรมพระนครสวรรค์ ซึ่งเคยได้รับพระราชทานเงินเดือนปีละ 100,000 บาท ถูกตัดเหลือเพียง 40,000 บาท ต่อปีเท่านั้น
(เฉพาะค่าอาหารเลี้ยงคนในวังที่มีจำนวน 2-3 ร้อยคน ก็ตกวันละ 100 บาท เข้าไปแล้ว)
หลังการยึดอำนาจ ยังคงมีความขัดแย้งระหว่าง ร.7 กับคณะราษฎรยังคงมีอยู่ เพราะทรงไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะให้มีบทเฉพาะกาล ให้คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเอาไว้ 10 ปี แล้วจึงเปลี่ยนการปกครองไปอยู่ในมือของพระชาชน
ฟังเท่านี้ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่า ฝ่ายใดที่มีเหตุผลมากกว่ากัน!
มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมาในบ้านเมือง ได้มีราษฎรชื่อ นายถวัลย์ ฤทธิเดช ได้ฟ้องร้อง ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทำให้เจ้านายและข้าราชการที่จงรักภักดี ไม่พอใจอย่างยิ่ง เป็นต้นเหตุให้มีการแย่งชิงอำนาจจากฝ่ายคณะราษฎร แต่กระทำการไม่สำเร็จ เลยกลายเป็นกบฏที่เราเรียกกันว่า
“กบฏบวรเดช”
พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งทรงเป็นผู้นำในการก่อการครั้งนั้น เมื่อพ่ายแพ้ต่อกำลังของฝ่ายผู้ก่อการ ได้เสด็จหนีออกจากราชอาณาจักรไป แต่ก็ยังได้เสด็จกลับประเทศ เมื่อได้รับการพระราชอภัยโทษ ก็เป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปีทีเดียว
หลังจากเกิดกบฏแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พร้อมพระราชินี ได้เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อไปรับการรักษาพระเนตร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2476

ในวันที่เสด็จจากพระนครไปนั้น ไม่มีแม้แต่กองทหารรักษาพระองค์ที่เคยถวายความจงรักภักดี ไปส่งเสด็จที่พระราชวังสวนจิตรลดา คงมีเพียงแถวของนักเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวนร้อยกว่าคน ไปส่งเสด็จในวันนั้น และทรงเสด็จพระราชดำเนินตรวจแถวนักเรียนช้าๆ ก่อนจะเสด็จจากพระนครไป และไม่ได้เสด็จกลับ ‘สยาม’ แผ่นดินที่พระราชบรรพบุรุษของพระองค์ ทรงสร้างประเทศขึ้นมา ด้วยพระวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่งอีกเลย
ความขัดแย้งระหว่าง ร.7 และรัฐบาลดำเนินไปจนถึงขั้นแตกหัก พระองค์ทรงลาออกจากราชสมบัติในที่สุด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 เวลา 13 นาฬิกา 45 นาที!
เมื่อทรงลาออกไปแล้ว รัฐบาลไม่รอช้าที่จะออกพระราชบัญญัติ เพื่อจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งจะยึดเอา “พระคลังข้างที่” (เงินสะสมของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี สืบมาแต่รัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงค้าขายเก่งมาก่อนครองราชย์ และได้ทรงนำเงินนั้นใส่ “ถุงแดง” ไว้ข้างแท่นพระบรรทม จึงเรียกว่า “พระคลังข้างที่”...วาทตะวัน) โดยออกเป็นกฎหมายชื่อว่า “พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479” และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ 15 มิถุนายน 2479 เป็นต้นมา
พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แยกทรัพย์สินหรือสิทธิ ออกเป็นสองส่วนคือ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” และ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน”
ปัญหาการฟ้องร้องเกิดขึ้น เมื่อผู้ก่อการกลุ่มหนุ่มในตอนนั้นซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่จ้องมอง ‘ถุงเงิน’ อย่าง ‘พระคลังข้างที่’ ตาเป็นมัน ด้วยความมุ่งหมายที่จะยึดเอามาเป็นของรัฐ เพื่อนำมาเป็นทุนในการจัดระบอบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (แต่ถูกวิจารณ์ว่า “คอมมิวนิสต์” ต้องแก้ตัวกันพัลวัน!) ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบบัญชีพระคลังข้างที่ ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงฐานะ มาอยู่ในกำกับดูของกระทรวงการคลัง ตามกฎหมายใหม่ ที่ว่าด้วยการจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดนี้ ได้พบเงินหายไปหลายรายการ ซึ่งเป็นเงินที่ฝากไว้ในนามของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวง ในธนาคารของต่างประเทศ
รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์ (หกล้านสองแสนเจ็ดหมื่นสองพันเจ็ดร้อยสิบสองบาท เก้าสิบสองสตางค์)
การฟ้องร้องครั้งนี้ ช็อกประชาชนคนไทยทั้งประเทศตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่มีใครคาดคิดเลย ว่า
รัฐบาลนั้นจะทำอัปรีย์ ถึงขั้นฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ของชาติ...ได้ลงคอ!
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ โจทก์คือกระทรวงการคลัง ได้ขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์จำเลยระหว่างการพิจารณาไว้ก่อนด้วย โดยอ้างเหตุผลคือ

เกรงจำเลยทั้งสอง จะยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน!!
อธิบดีศาลแพ่ง คุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในเวลานั้นมีคำสั่งว่า “ไม่อนุญาต” ตามคำร้องของโจทก์ ที่ขอยึดทรัพย์จำเลยไว้ระหว่างการพิจารณา
แต่ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ....
หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในคอนนั้น มีคำสั่งย้ายพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ขึ้นไปดำรงตำแหน่งในศาลฎีกาเอาดื้อๆ
แต่ยังครับ ยังไม่ใช่แค่นั้น...เพราะยังมีดาบสองตามมาอีก
ที่น่าตกใจมากๆก็คือ ไม่กี่เดือนถัดมา ได้มีคำสั่งให้คุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ออกจากราชการฐาน...รับราชการนาน!

นี่คือความระยำ ของฝ่ายผู้ถืออำนาจ...รังแกผู้พิพากษา!!

(คุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ต้องออกจากราชการไปนานกว่า สี่ปี ก่อนมีคำสั่งจากรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ให้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง)
เมื่อย้ายคุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ได้แล้ว ความพยายาม ของรัฐบาลโดยผู้ก่อการกลุ่มหนุ่ม ในการเข้ายึดทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ ก็สัมฤทธิผล โดย น.อ.หลวงกาจสงคราม รัฐมนตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมการตรวจ
รับงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจบัญชีด้วย ได้นำเจ้าหน้าที่กองหมายของศาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอีกหนึ่งโขยง บุกเข้าวังสุโขทัย เพื่อทำการปิดหมายยึดทรัพย์
...คนพวกนี้กลับรู้สึกผิดหวังเป็นอันมาก เพราะพวกเขาคิดว่าจะได้พบเงินทองและทรัพย์สินมีค่ามหาศาล กลับผิดหวังเป็นที่สุด เพราะทรัพย์สินทั้งหมด รวมอสังหาริมทรัพย์คือตัววังสุโขทัยด้วย ก็มีมูลค่าเพียง 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้น
การพิจารณาคดีดำเนินไปหลายปี จนกระทั่งในที่สุดศาลได้มีคำสั่ง ตามคดีหมายเลขดำที่ 242/2482 คดีหมายเลขแดง ที่ 404/2484 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2484 (พิพากษาหลังสวรรคตแล้ว)
ให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จำเลยที่ 2
เป็นฝ่ายแพ้คดี!
วั
นนี้ ผมยกเรื่องราวในอดีตให้คนเห็น ว่าหลังการยึดอำนาจแล้ว การจองล้างจองผลาญกันในทางการเมืองก็เกิดขึ้น
แม้แต่ ‘พระเจ้าแผ่นดิน’ ...พวกมันก็ยังไม่เว้น!
ดังนั้น กรณี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีฐานะสูงส่ง เป็นเพียงเด็กบ้านนอก ลูกชาวบ้านเหมือนคนไทยทั่วๆไป แต่ได้ต่อสู้ชีวิตมาจนมีฐานะดี และมาจากการเลือกตั้งซึ่งประชาชนลงคะแนนเสียงข้างมาก ให้เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียว เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติ แต่กลับถูกรัฐประหารโดยการใช้กำลังทหาร
จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไร ที่แม้จะหมดอำนาจวาสนาไป ก็ยังถูกจองล้างจองผลาญกัน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
ขนาดองค์พระมหากษัตริย์เจ้าชาวไทย ไอ้พวกที่ยึดอำนาจไปมันก็ยังไม่ยอมเลิกละ
แถมยังฮึกเหิมถึงขั้น...ฟ้องร้องพระเจ้าแผ่นดิน!!
...ตัวอย่างก็มี ที่แสดงให้เห็นแล้ว!

ดูจะเป็นสัจธรรม ที่ไอ้พวกใช้ปืน ใช้กำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ แต่พอได้เสวยอำนาจแล้ว มันก็ทำอัปรีย์ทันทีทันใด โดยเฉพาะการ ‘ปล้น’ เอาเงินหลวงไป โดยอ้างว่าเป็นค่าเคลื่อนกำลังทำรัฐประหาร และมันก็ต้องทำทุกอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจเดิม มีโอกาสกลับเข้ามาชำระสะสาง สิ่งที่พวกมันก่อเอาไว้นั่นเอง
ฉะนั้น ผู้ที่ยึดอำนาจอย่าง ‘ไอ้บัง กบฏ’ มันก็ต้องพึ่งหัวคิดของ ‘ไอ้มีชัย กบาลใส’ นักกฎหมายตัวแสบ ที่ผมเรียกว่า Butler Lawyer ในคอลัมน์ “จดหมายฟ้องโลก” เพราะไอ้ตัวนี้มันถนัดทางทำมาหารับประทาน กับพวกยึดอำนาจมายาวนาน จนรู้ทุกซอก ทุกหลืบของการร่างกฎหมายแบบ...
กดหัวกบาลชาวบ้าน สนองไอ้พวกยึดอำนาจ!
มันแนะให้เอากลุ่มคนที่ชาวบ้านเขารู้กันทั่วว่า เป็นศัตรูของทักษิณ รวมเป็นแก๊ง ค.ต.ส. ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือของฝ่ายรัฐประหาร ไล่สอบสวนหาความผิดกับคุณทักษิณและครอบครัว

คนไทยจำนวนมาก เขาเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะ กระบวนการสอบสวน ไม่ชอบธรรมมาตั้งแต่ต้น เอากระบวนการไม่ชอบในการสอบสวน ไปผูกกับกระบวนการที่ชอบในชั้นอัยการและศาล ซึ่งไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่ยังใช้บังคับอยู่ อันไม่เป็นการดำเนินการ “ศุภนิติกระบวน” (Due Process) ทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง!
นานาอารยะประเทศ...ไม่ยอมรับเด็ดขาด!!
ผู้พิพากษาศาลฎีกาบางท่าน ก็แสดงความองอาจ กล้าหาญ ไม่ยอมรับอำนาจของพวกถือปืนเข้ามายึดเอาอำนาจของประชาชน อย่าง ท่านกีรติ กาญจนรินทร์ เป็นต้น

เวาลาผ่านไปหลายปีดีดัก ไอ้พวก ค.ต.ส. มันกลับไม่มีปัญญาที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า ทักษิณ ‘โกง’ เจ๋งๆ แม้แต่เพียงเรื่องเดียว
เมื่อยังไม่สามารถพิสูจน์ว่า คุณทักษิณได้กระทำความผิดอาญาในข้อหาคอรัปชั่นได้ชัดเจน ไอ้พวก ค.ต.ส.ที่รับใช้เผด็จการมันก็เลยจำเป็นต้องใช้วิธีตีขลุม โดยตัดบทเอาเรื่อง ‘ร่ำรวยผิดปกติ’ มาเป็นข้ออ้าง
ส่งฟ้องให้ยึดทรัพย์กันเลย!
ทั้งๆที่หลักฐานทางราชการ โดยเฉพาะฝ่ายตรวจสอบทรัพย์สิน ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ปรากฏชัดเจนแจ๋วแหวว ไร้ข้อกังขา ว่า

ก่อนเล่นการเมืองนั้น คุณทักษิณฯและครอบครัว เขาทำมาหากินตามประสาชาวบ้านทั่วไป เสียภาษีให้รัฐก็นับหมื่นล้าน แต่ทรัพย์สินที่แจ้งกับทางการเมื่อปี พ.ศ.2537 ก็มีมูลค่าเกินครึ่งแสนล้านอยู่แล้ว!!
ขอปิดท้ายบทความ ด้วยท่อนท้ายของบทเพลง “เมืองกังวล” ที่สถานี
วิทยุทหารชอบเปิดกันนัก ซึ่งสอนใจผู้คนได้ดีนักหนา ว่า
เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่เอย !!!

..................

****ท้ายบท
ท่านผู้อ่าน ที่ต้องการทราบถึงกระบวนการยุติธรรมอันบิดเบี้ยวของบ้านเรา ในการจองล้างจองผลาญทักษิณ โปรดเข้าไปอ่านต่อใน 2 คอลัมน์สำคัญ ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกัน และได้รับความสนใจจากท่านผู้อ่านเป็นจำนวนมาก คือ
1. ไทยกับกระบวนการ ‘ไม่’ ยุติธรรม อันน่าอับอาย!!! (จำนวนผู้อ่านแล้วร่วมครึ่งหมื่นราย) http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=186
2. จดหมายฟ้องโลก!!! (จำนวนผู้
อ่านแล้วเกือบหนึ่งหมื่นสองพันราย) http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=187
สำหรับจดหมายฟ้องโลก ได้แพร่หลายไปสู่สถานทูตทุกประเทศ ผู้นำชาติต่างๆ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงทางกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ
อ่านแล้วท่านจะเข้าใจถึงความ ‘ไม่ยุติธรรม’ ที่แผ่ปกคลุมบ้านเมืองของเรา และสร้างปัญหาความแตกแยก ร้าวลึก ยากที่จะแก้ไขให้กลับคืนมาได้...ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้!!!

ด้วยความเคารพ
วาทตะวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น